กรุงเทพฯ 23 สิงหาคม 2562 - นางสุพัตรา ศรีไมตรีพิทักษ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง เปิดเผยว่า งานสัมมนาครั้งนี้ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ ข้อมูลเชิงลึกด้านการค้าและการลงทุน ในเมียนมา รวมทั้งพบปะผู้กำหนดนโยบาย ตลอดจนอัพเดทเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันให้แก่กลุ่ม นักธุรกิจไทยหรือผู้สนใจลงทุนในเมียนมา อาทิ โอกาสความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยกับเมียนมา การพัฒนาเศรษฐกิจของเมียนมา อุตสาหกรรมดาวรุ่ง การปรับปรุงกฎหมายเพื่อส่งเสริมการลงทุน ตลอดจนการกระชับความสัมพันธ์ และชี้ให้เห็นถึงศักยภาพในการขยายตลาดการค้า การลงทุนให้กลายเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระดับชาติ
โดยมีหัวข้อที่น่าสนใจ อาทิ แผนพัฒนาอย่างยั่งยืนของเมียนมา (Myanmar Sustainable Development Plan) และโครงการพัฒนาประเทศ Project Bank ของเมียนมา, โอกาสการลงทุนด้านไฟฟ้าและพลังงาน, อัพเดทข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายใหม่ที่เปิดโอกาสให้บริษัทต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง ซึ่งเป็นอีกภาคธุรกิจ ที่น่าสนใจลงทุน สุดท้ายโอกาสและลู่ทางการขยายฐานการผลิตมายังประเทศเมียนมา
สำหรับการจัดอันดับของธนาคารโลก ด้านความยากง่ายในการประกอบธุรกิจหรือ Doing Business 2019 ในด้านหลัก คือ การเริ่มต้นธุรกิจ, การขออนุญาตก่อสร้าง, การขอใช้ไฟฟ้า, การจดทะเบียนทรัพย์สิน,การได้สินเชื่อ, การคุ้มครองผู้ลงทุน, การชำระภาษี, การค้าระหว่างประเทศ, การแก้ปัญหาการล้มละลาย,การบังคับให้เป็นไปตามสัญญา โดยเมียนมาอยู่ในลำดับที่ 171 จาก 190 ประเทศทั่วโลก ซึ่งเมียนมามีเป้าหมายขึ้นสู่อันดับที่ 100 ภายในปี 2563-2564 และสู่อันดับที่ 40 ภายในปี 2578-2579
ด้านการลงทุนทางตรงของต่างประเทศในเมียนมา (FDI) ในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2018-2019 ของเมียนมา(ตุลาคม 2561-พฤษภาคม 2562) คณะกรรมการการลงทุนแห่งเมียนมา(Myanmar Investment Commission : MIC) อนุมัติการลงทุนคิดเป็นมูลค่า 2,499.413 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสิงคโปร์ มีการลงทุนสูงสุดเป็นอันดับที่ 1 มูลค่า 1,600.053 ล้านเหรียญสหรัฐ รองลงมา คือ จีน และฮ่องกง ขณะที่ไทยมีการลงทุนสูงเป็นอันดับที่ 4 มูลค่าการลงทุน 118.634 ล้านเหรียญสหรัฐ
ในส่วนของอุตสาหกรรมที่ต่างชาติให้ความสนใจลงทุนในเมียนมามากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2018-2019 (ตุลาคม 2561-พฤษภาคม 2562) อันดับที่ 1 คือ การคมนาคมและการสื่อสาร อันดับที่ 2 คือ อุตสาหกรรมการผลิต อันดับที่ 3 ภาคพลังงาน อันดับที่ 4 โรงแรมและการท่องเที่ยว และอันดับที่ 5 อสังหาริมทรัพย์
ด้านนายสรศักดิ์ กีรติโชคชัยกุล นายกสมาคมธุรกิจไทยในพม่า (TBAM) กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางสมาคมได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากทางสถานเอกอัครราชทูตไทย และจากธนาคารและบริษัทไทยรายใหญ่ที่เข้ามาทำธุรกิจในเมียนมา ในการจัดสัมมนาธุรกิจ“เมียนมา อินไซต์” ปีนี้ถือเป็นครั้งที่ 4 เพื่อเป็นเวทีให้
นักธุรกิจไทยได้รับทราบนโยบายด้านเศรษฐกิจของเมียนมา โอกาสการค้าการลงทุน รวมทั้งประสบการณ์ของนักธุรกิจเมียนมาและนักธุรกิจไทยที่ประสบความสำเร็จ โดยในปีที่ผ่านมามีนักธุรกิจไทยเข้าร่วมงานกว่า 600 คน จากหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งทางสมาคม TBAM พร้อมที่จะสนับสนุนและเป็นที่ปรึกษาให้กับนักธุรกิจไทยที่สนใจจะเข้ามาลงทุนในเมียนมา
สำหรับมูลค่าการค้ารวมระหว่างไทยและเมียนมา ช่วงมกราคม – พฤษภาคม 2562 คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3,188.69 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 12.43 % จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยประเทศไทยมีการส่งออกไปยังเมียนมาคิดเป็นมูลค่า 1,888.32 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าสินค้าจากเมียนมาเป็นมูลค่า 1,300.37 ล้านเหรียญสหรัฐ และสินค้าไทยที่ส่งออกไปเมียนมา ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป เครื่องดื่ม เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกล รถยนต์ ข้าวสาลี เป็นต้น ส่วนสินค้าไทยที่นำเข้า ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ สินแร่โลหะ เนื้อสัตว์สำหรับบริโภค ผลิตภัณฑ์จากพืชผัก ผลไม้ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี เมียนมามีศักยภาพด้านการค้าและการลงทุนอย่างยิ่ง เนื่องจากมีที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสองตลาดใหญ่สำคัญของจีนและอินเดีย และมีประชากรในวัยทำงานจำนวนมาก อีกทั้งเป็นศูนย์กลางความเชื่อมโยงในระดับภูมิภาคและระหว่างภูมิภาค และเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมศตวรรษที่ 21 หรือ Belt and Road Initiative (BRI) ไทยและเมียนมาเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์โดยธรรมชาติ (Natural Strategic Partner) โดยรัฐบาลไทยมีนโยบายที่จะส่งเสริมการค้าการลงทุนกับเมียนมาเพื่อการพัฒนาร่วมกันอย่างยั่งยืน
No comments:
Post a Comment