HIGHLIGHT :
• โลกหลังวิกฤติ Covid-19 (ตอนที่ 8) ระบบการศึกษาในมหาวิทยาลัยหลัง Covid-19 ที่จะเปลี่ยนจากตัวกลางระหว่างแรงงานและนายจ้างมาเป็น "หุ้นส่วน" ในการผลิตบุคลากรร่วมกับนายจ้าง พร้อมคำแนะนำสำหรับมหาวิทยาลัยไทยในการปรับตัวให้ผ่านพ้นกระแสการเปลี่ยนแปลงนี้ไปได้
สำหรับบทความในตอนนี้จะขอพูดถึงการปรับตัวของมหาวิทยาลัยหลังเหตุการณ์ Covid-19 อีกครั้งหนึ่ง บทความของ Brandon Busteed ชื่อ “This Will Be The Biggest Disruption in Higher Education” ที่ลงใน forbes.com เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นถึงการเสื่อมคลายมนต์ขลังของเยาวชนที่เป็นลูกค้าเป้าหมายของมหาวิทยาลัยที่จะเข้าไปสู่ตลาดแรงงาน ทำงานคู่ขนานไปกับการเรียน ซึ่งนายจ้างก็จะสนับสนุนให้เป็นอย่างนั้นด้วย
เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ ถือว่าจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในวงการอุดมศึกษา (the biggest disruption in higher education) เพราะนับเป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่า “Disintermediary” ที่มหาวิทยาลัยเคยเป็นตัวกลางระหว่างแรงงานใหม่กับนายจ้างในอุตสาหกรรมมาก่อนโดยตลอด แรงผลักดันให้เกิดเหตุการณ์นี้ก็สืบเนื่องมาจากการเข้าสู่โลกอุตสาหกรรมยุค 4.0 ในขณะที่
มหาวิทยาลัยยังพัฒนาและจัดระบบความรู้รองรับโลกยุคใหม่ไม่เสร็จสิ้น นิสิตนักศึกษารุ่นใหม่รวมทั้งแรงงานเดิมที่อยู่ในตลาดรวมทั้งนายจ้างจะไม่คอยมหาวิทยาลัยอีกต่อไป แต่จะยินดีหาทางแสวงหาความรู้และประสบการณ์ร่วมกัน ที่จริง “ปริญญา” หรือความรู้จากมหาวิทยาลัยก็จะยังเป็นของที่มีค่าที่แรงงานต้องการ แต่บทบาทมหาวิทยาลัยจะถูกบังคับให้เปลี่ยนจากการเป็น“ตัวกลาง” มาเป็น “หุ้นส่วน” ในการผลิตบุคลากรในอนาคต อาการที่ว่านี้ เขาเรียกกันว่า “Go Pro Early” และปริญญาหรือประกาศนียบัตรจะเป็นเพียงองค์ประกอบส่วนหนึ่งเท่านั้น (A part of package)
การคุกคามที่กล่าวข้างต้นนี้ ส่งผลกระทบรุนแรงต่อมหาวิทยาลัยในส่วนรายได้จากค่าธรรมเนียม (college tuition) ที่อาจไม่แน่นอน ทั้งในด้านจำนวนและราคาในรูปแบบเดิมที่เก็บอยู่ อันเนื่องมาจากพฤติกรรมและความต้องการของผู้เรียนที่เปลี่ยนไป ส่งผลต่อการบริหารกระแสเงินสดรับจ่ายของมหาวิทยาลัย เนื่องจากมีต้นทุนคงที่ค่อนข้างสูง เช่น เงินเดือนของคณาจารย์และบุคลากรที่เคยตั้งรับรอนักศึกษาเข้ามาในปริมาณมากพอพร้อมๆ กัน และต้นทุนด้านกายภาพที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งลงทุนไปมาก เกิดทั้งค่าเสื่อมราคาและค่าเสียโอกาสหากไม่ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่
บทความเรื่อง The Coming Disruption ของ James D. Walsh ที่ลงใน nymag.com (How Coronavirus Will Disrupt Future Colleges & Universities) เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญไว้ว่าขณะที่เกิดโรคระบาด Covid-19 ขึ้น บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีได้จับมือเข้าร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐอเมริกาอย่างชัดเจนมากขึ้นแล้ว เช่น MIT@Google, istanford, Harvard x Facebook เป็นต้น การร่วมมือเป็นหุ้นส่วนนี้ทำให้สามารถออกหลักสูตรในลักษณะ Hybrid online-offline degrees ซึ่งจะเป็นปรากฏการณ์สำคัญในการเขย่าวงการอุดมศึกษาของสหรัฐอเมริกาและของโลก มีการคาดการณ์ว่าหากมหาวิทยาลัยในรูปแบบเดิม (Brick-and-mortar Universities) ไม่สามารถหาผู้เข้าเรียนได้จำนวนมากๆ เหมือนเดิมและปรับตัวไม่ได้อาจจะต้องปิดตัวออกจากวงการนี้ไปในอีกไม่นาน
เอาแค่ตอนนี้ระหว่างเกิดโรคระบาด บรรดามหาวิทยาลัยต่างๆ เกิดความปั่นป่วนขึ้น และกำลังคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นและต้องทำอย่างไรหากนักศึกษาเดิมไม่กลับมาในปีหน้า หรือสำหรับนักศึกษาใหม่ที่รับเข้าเรียนแล้วเขาไม่ยอมมา การที่ “เด็กไม่ง้อมหาวิทยาลัย” เป็นสิ่งที่คนมหาวิทยาลัยไม่เคยเห็นมาก่อนตลอดช่วงชีวิตของเขา (อันที่จริงมันมี weak signal มาก่อนแล้วที่บรรดานักเทคโนโลยีระดับโลกที่เป็นเจ้าของนวัตกรรมสำคัญและกลายเป็นมหาเศรษฐีของโลก ออกจากการเรียนกลางคันมาแล้ว แต่มหาวิทยาลัยไม่มี Foresight ที่จะจับมาพิจารณาเอง) รวมทั้ง “ลัทธิการบูชาปริญญา” ที่ช่วยเสริมคุณค่าการมีมหาวิทยาลัย ก็จะมีความศักดิ์สิทธิ์น้อยลงทุกขณะ ทั้งหมดนี้ล้วนแต่กำลังสร้างความหวั่นเกรงแก่มหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วโลก และความอลหม่านในขณะนี้ก็คือ “จริงหรือ?” หรือ “เราจะไปทางไหนดี?” “ใช่หรือทางนี้?”
ผลที่กำลังจะตามมาของ Covid-19 ก็คือ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ผู้คนจะใช้จ่ายเงินอย่างระมัดระวังมากขึ้นค่าเทอมในรูปแบบเดิมของมหาวิทยาลัยอาจถูกตั้งคำถามว่าเหมาะสมหรือไม่กับการต้องเรียนแบบ Online ที่ผู้ปกครองอาจมองว่าไม่คุ้มค่าเลย เพราะลูกๆ ต้องอยู่บ้านและดูแค่จอ Screen ของคอมพิวเตอร์ จะมีเสียงเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยลดค่าเรียนลงมา ซึ่งมหาวิทยาลัยบางแห่งก็จะตัดสินใจยากมากเพราะทราบต้นทุนของตนเองดี หากในอนาคตอันใกล้มีมหาวิทยาลัยที่ทำหลักสูตรได้ดีเป็นที่ต้องการและราคาถูกจะเกิดคลื่นการเคลื่อนย้ายนักศึกษาครั้งใหญ่หากมหาวิทยาลัยไม่ปรับตัว หรือไม่มีความสามารถในการปรับตัว และก็จะเกิด “Zombie universities” ขึ้น จนถึงต้องเลิกกิจการ ในสหรัฐอเมริกามีการคาดการณ์ว่ามหาวิทยาลัยอันดับที่ 50 จนถึงอันดับที่ 1,000 มีความเสี่ยงสูงที่จะอยู่ไม่รอด
ข้อคิดสำหรับมหาวิทยาลัยไทย
แม้ว่า มหาวิทยาลัยของไทยจะไม่ได้เป็นเลิศในอันดับต้นๆ ของโลก แต่เรามีภารกิจที่ต้องพัฒนาบุคลากรของไทยให้เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ ของโลก และเป็นแรงงานที่มีความรู้ความสามารถเพื่อเป็นปัจจัยการผลิตที่ดี เป็นกำลังสำคัญในการยกระดับระบบอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจไทยและอยู่ใน “บริบท” ที่เหมาะสมกับประเทศของเรา จากข้อสังเกตและความเห็นส่วนตัวบางประการมีคำแนะนำต่อการปรับตัวของมหาวิทยาลัยไทย ดังนี้
1) หยุดหรือลดการสร้างสินทรัพย์ถาวรที่ไม่จำเป็น
มีข้อสังเกตว่า มหาวิทยาลัยของไทยมักชอบสร้างถาวรวัตถุ เพื่อรองรับการเรียนการสอนของคณะวิชาต่างๆ ที่ต้องการแตกแขนง “อาณาจักร” โดยอ้างความต้องการการพัฒนาความกว้างและลึกของศาสตร์ในสาขานั้นๆ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีพอสมควรแล้ว สิ่งที่ขาดมากกว่าในขณะนี้ก็คือการพัฒนา “knowledge software” โดยเฉพาะในลักษณะที่จะตอบโจทย์โลกอุตสาหกรรม 4.0 และในลักษณะบูรณาการกับศาสตร์อื่นๆ ทั้งนี้ต้องยอมรับความเป็นจริงว่าระบบคณะวิชาในอนาคตอาจไม่ได้เป็นในลักษณะเหมือนทุกวันนี้ การมี physical assets มากเกินไป จะทำให้มีค่าเสื่อมราคา ค่าเสียโอกาส ทำให้มีต้นทุนทางการเงินสูง
2) ต้องร่วมมือกับธุรกิจอุตสาหกรรมภายนอกมากขึ้นและในมิติแบบใหม่
มหาวิทยาลัยต้องมองว่าธุรกิจในอุตสาหกรรมต่างๆ คือ “หุ้นส่วน” เพราะนักธุรกิจหรือผู้ประกอบการเองก็ถูกคุกคามจากเดิมซึ่งทำธุรกิจในโลก 3.0 และต้องการอยู่รอดหรือเกิดใหม่บนโลก 4.0 การขับเคลื่อนธุรกิจบนโลกใหม่มีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องการจากมหาวิทยาลัย เช่น การพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการ การมีแรงงานยุคใหม่ที่มีประสิทธิภาพที่พร้อมจะใช้ที่ทำงานบนธุรกิจใหม่ที่กำลังปรับตัวของเขาให้เป็น “Real and experience labs” เพื่อเรียนรู้ไปด้วยกัน พัฒนาและปรับหลักสูตรไปด้วยกัน ซึ่งมหาวิทยาลัยจะต้องยอมรับที่จะออกจากกรอบแบบเดิมในการพัฒนาหลักสูตรและองค์ความรู้
3) มองฐานลูกค้าให้กว้างขวางกว่าเดิมนอกจากเยาวชนไปสู่แรงงานที่ต้องการปรับทักษะเข้าสู่โลกใหม่ด้วย
การเคลื่อนตัวเข้าสู่โลกอุตสาหกรรม 4.0 และภัยคุกคามจากเหตุการณ์ Covid-19 กระทบต่อทุกวงการ จะมีความต้องการพัฒนาความรู้ทักษะในรูปแบบใหม่เพื่อเข้าสู่โลกใหม่ ซึ่งต้องการแรงงานที่มีความรู้ความสามารถแบบใหม่ มหาวิทยาลัยควรออกจากรูปแบบการดำเนินงานเดิมที่ตั้งรับรอเยาวชนที่จะเข้าสู่ระบบ Degree เท่านั้น แต่ควรเป็นศูนย์กลาง Re-skill และ Up-skill ให้กับแรงงานเดิมในประเทศ ซึ่งมีอยู่ไม่ต่ำกว่า 40 ล้านคน ซึ่งจะเป็นตลาดใหม่ทดแทนโครงสร้างประชากรเยาวชนซึ่งมีสัดส่วนลดลง แต่เป็นการใช้โอกาส “Life-long learning” ที่เป็นกระแสที่มาพอดี
ที่กล่าวมาถือว่าเป็นตัวอย่าง ซึ่งเชื่อว่ามหาวิทยาลัยมีคนดีและคนเก่งในระดับมันสมองที่เข้าใจสภาพปัญหาได้ดี ลองระดมสมองกัน และช่วยดำเนินการกันไป เพื่อให้มหาวิทยาลัยไทยของเราผ่านพ้นกระแสการเปลี่ยนแปลงนี้ไปได้อย่างราบรื่น
Post Top Ad
Monday, June 15, 2020

บทความ “โลกหลังวิกฤติ Covid-19 (ตอนที่ 8)”
Tags
# การเงิน การลงทุน
Share This
About threportor
การเงิน การลงทุน
Labels:
การเงิน การลงทุน
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
Author Details
Templatesyard is a blogger resources site is a provider of high quality blogger template with premium looking layout and robust design. The main mission of templatesyard is to provide the best quality blogger templates which are professionally designed and perfectlly seo optimized to deliver best result for your blog.
No comments:
Post a Comment