นิโคลาส์ ลูฟรานี แห่ง สไมลีย์เวิลด์ (SmileyWorld) ผู้บริหาร สไมลีย์ ปลื้ม เผยเบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์หน้ายิ้ม สไมลี่ย์ เวิลด์ - Siam Outlook

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

Monday, November 12, 2018

นิโคลาส์ ลูฟรานี แห่ง สไมลีย์เวิลด์ (SmileyWorld) ผู้บริหาร สไมลีย์ ปลื้ม เผยเบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์หน้ายิ้ม สไมลี่ย์ เวิลด์


นิโคลาส์ ลูฟรานี แห่ง สไมลีย์เวิลด์ (SmileyWorld) เผยเเสน่ห์และเบื้องหลังธุรกิจคาแรคเตอร์สไมลีย์ ที่ดึงดูดใจคนทั่วโลกของ แบรนด์ สไมลีย์ ที่เป็นมากกว่าไอคอน หน้ายิ้ม ไม่ใช่แค่อีโมติคอนส์ โลโก้แบรนด์ หรือกราฟฟิคโปรโมชั่น


บริษัท สไมลีย์เวิร์ล ( SmileyWorld Company ) ได้ฉลองส่งปี 2017ด้วยเรื่องราวดีๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ยอดขายที่ทะลุเป้า แซงยอดปีที่ผ่านมาถึง 59 เปอร์เซ็นต์ กับตัวเลขรายได้ปี 2017 ที่สูงถึง 419.85 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และยังได้เพิ่มลูกค้าที่จดทะเบียนใช้บริการลิขสิทธิ์สินค้า (licensee) ในเครืออีกหลายราย รวมถึง การร่วมทุนในแบบจอยน์เวนเจอร์ ( joint venture) กับคาแรคเตอร์Rubik อย่างเป็นทางการ และได้เริ่มวางสินค้าออกสู่ตลาดแล้ว จากรายงานของ ROBERT HUTCHINS เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2018 
 
ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ ประธานกรรมการบริหารหรือ ซีอีโอ นิโคลาส์ ลูฟรานี (Nicolas Loufrani) ได้ปฏิวัติผลงานภายใต้ชื่อ บริษัท สไมลีย์เวิร์ล คอมพานี ให้กลายเป็นแบรนด์ของสินค้าไลฟ์สไตล์ที่เติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง เขาทำได้อย่างไร ที่มาที่ไปของความสำเร็จที่ยังคงเป็นขาขี้นต่อเนื่องนี้คืออะไร ติดตามได้จากบทสัมภาษณ์ต่อไปนี้ 

“ช่วงปี 2017 ที่ผ่านมาถึงปัจุบัน เป็นช่วงที่ยิ่งใหญ่สำหรับ สไมลีย์เวิลด์ (SmileyWorld) มากๆ “ ลูฟรานี เผย

สไมลีย์เวิลด์ (SmileyWorld) เป็นกลุ่มสินค้าและบริการของบริษัท สไมลีย์เเวิร์ล คอมพานี จากรูปแบบของไอคอนสไมลีย์ แบบดั้งเดิม ที่สร้างสรรค์โดย “ลูฟรานี” ผู้พ่อ และถูกตีพิมพ์ในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ France Soirในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1972 สำหรับแคมเปญรณรงค์ให้ประชาชนยิ้มให้มากขึ้นของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ ไอคอน หน้ายิ้มนี้ได้ถูกพ้ฒนา ให้มีรูปแบบที่หลากหลายและเข้ากับยุคสมัยขึ้น เมื่อ นิโคลาส์ ลูฟรานี ผู้เป็นลูกชายได้เข้ามาร่วมบริหารธุรกิจของบริษัทเมื่อ ปี 1997 และได้พัฒนาให้ สไมลีย์เวิลด์ เป็นแบรนด์สัญลักษณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับชีวิตและวัฒนธรรมในวงกว้างของกลุ่มผู้บริโภคมากกว่าเดิม และได้วางตำแหน่งทางการตลาดให้แบรนด์สไมลีย์ ต้นกำเนิด เป็นตัวไอคอน สำหรับสินค้าและแบรนด์ระดับพรีเมียม ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกันในตลาดยุคปัจจุบัน

ส่วน สไมลีย์เวิลด์ มีจุดยืนที่โดดเด่นในแง่การเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและวีถีชีวิตของมวลชน ไม่ใช่เพียงการให้ลิขสิทธิ์สินค้าของแบรนด์ (ไลเซ่นซิงส์) กับพาร์ตเนอร์ต่างๆ ไม่เพียงสร้างให้เกิดผลงานสร้างสรรค์ทางศิลปะ และวงการแฟชั่น จากรูปแบบ อีโมติคอนส์ (ไอคอนหน้ายิ้ม และใบหน้าแสดงความรู้สึกที่หลากหลายในอารมณ์ต่างๆ กว่า 3,000 ไอคอน ) แต่ยังกลายเป็นแบรนด์ที่มีความสำคัญในการสื่อสารและด้านภาษา เพราะสไมลีย์ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบภาษาสื่อสารด้วยรูปภาพ เป็นภาษาสากล จากการที่เราใช้อีโมติคอนส์ แสดงความรู้สึกและสื่อสารกันในชีวิตประจำวันของคนยุคปัจจุบัน 

ลูฟรานี ซีอีโอของ สไมลีย์เวิร์ล คอมพานี กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า

“จุดแข็งของสไมลีย์เวิลด์ คือ ความเรียบง่าย และ(ไอคอน)เหล่านี้ได้ถูกสร้างมาให้สามารถดัดแปลงไปเป็นอะไรต่อมิอะไรได้อย่างง่ายๆ จากดีเอนเอที่เป็นเรื่องของการสร้างความสุขและการคิดบวกของแบรนด์สไมลีย์ เราได้สร้างแพลตฟอร์มที่พิเศษอย่างเป็นเอกลักษณ์ให้กับคนยุคปัจจุบันได้สื่อสาร และแสดงอารมณ์ความรู้สึกผ่านสินค้าหรือโปรดักท์ที่สร้างสรรค์ และให้แรงบันดาลใจ ซึ่งมันช่วยให้เราเชื่อมโยงกับลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ได้อย่างดีเยี่ยมด้วย”

สไมลีย์เวิลด์จะกลายเป็นตำนาน ไม่ใช่แค่ในธุรกิจไลเซนซิง แต่ในด้านวัฒนธรรมการสื่อสาร และภาษาในการสื่อสารด้วย ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงในสื่อสารมวลชน รวมถึงสื่อใหญ่ระดับโลกหลายแห่ง ที่ให้ความสนใจต่อผลงานของซีอีโอของสไมลีย์ในปัจจุบัน

สื่อแนวหน้าที่เสนอความสำเร็จของ ลูฟรานี มีทั้ง มัลติมีเดียอย่าง บีบีซี (ทีวีและสื่อออนไลน์) ,ซีเอ็นบีซี (CNBC -ทีวีและสื่อออนไลน์) หนังสือพิมพ์ที่ทรงอิทธิพลในอังกฤษอย่าง เดอะ ซันเดย์ ไทม์ส สื่อใหม่อย่าง ฮัฟฟิงตัน โพสต์ (Huffington Post) ,ไอ ไวซ์ ( I , Vice) หนังสือพิมพ์ เมล์ออนซันเดย์ ( Mail on Sunday) , สำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters บริการข่าวทั่วโลก)

ในส่วนของยุทธศาสตร์การทำธุรกิจไลเซนซิง สไมลีย์เวิร์ล คอมพานี มุ่งหวังการเติบโตแบบยั่งยืนในอนาคต ด้วยการร่วมมือในเชิงลึกมากกว่าแค่มุ่งเพิ่มจำนวนพาร์ตเนอร์ ซึ่งผลงานในหลายไตรมาสที่ผ่านมาสามารถยืนยันได้อย่างชัดเจน

-ขณะที่ในส่วนของธุรกิจไลเซนซิง สไมลีย์ได้สร้างความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์หรือไลเซนซีส์รายใหม่ เพิ่มมา 32 ราย (โตถึง 11เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับผลประกอบการในปี 2016-2017)

-ในส่วนของมูลค่าการขายในส่วนของค้าปลีก(overall retail sales) ที่ทำรายได้กว่า 160 ล้านดอลลาร์ โตทะลุเพดานไปถึง 55เปอร์เซ็นต์เมื่อเปรียบเทียบยอดค้าปลีกในปี 2016-2017

รวมถึงธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่ม ที่สไมลีย์ได้เริ่มประทับรอยยิ้มแห่งตำนานแล้ว ผลงานนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนถึงผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมของแบรนด์สเตรทเทจี้ (ยุทธศาสตร์ของแบรนด์) ที่ไม่ได้มุ่งเน้นแต่การเพิ่มจำนวนพาร์ตเนอร์หรือไลเซนซีส์ แต่มุ่งเน้นที่คุณภาพของพาร์ตเนอร์ รวมถึงความสำเร็จเชิงคุณภาพที่เกิดขึ้นจากการร่วมงานกับพาร์ตเนอร์แต่ละรายเป็นหลัก

ประเด็นที่น่าสนใจคือว่า ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มแฟชั่นแบรนด์ดีไซเนอรืชั้นนำหลากหลายแบรนด์ ที่มีการร่วมมือสร้างสรรค์ผลงานพิเศษร่วมกับสไมลีย์อย่างต่อเนื่อง นั่นแสดงให้เห็นว่า พาร์ตเนอร์ต่างๆ ยินดีอ้าแขนรับอีโมติคอนทต้นฉบับของสไมลีย์ เพราะมันเป็นงานที่มีความพิเศษด้านดีไซน์และได้รับการสนับสนุนจากธุรกิจหลากหลายประเภทและหลากหลายแนวอย่างดีเยี่ยม

นอกเหนือจากความพิเศษเป็นเอกลักษณ์ของดีไซน์หน้ายิ้มแล้ว สไมลีย์เวิลด์ยังนำเสนอกระบวนการพัฒนาโปรดักท์ร่วมกับพาร์ตเนอร์ ในแบบที่เรียกว่า โค-ครีเอชัน ซึ่งกระบวนการนีมีส่วนสำคัญในการสร้างสินค้าระดับเบสท์เซลลิงหลายชุด จากการตัวสินค้าที่น่าสนใจและเป็นนวัตกรรมอย่างแท้จริง และความสำเร็จของสไมลีย์ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงกลุ่มสินค้าแฟชั่นซึ่งถือเป็นกลุ่มธุรกิจหลัก แต่กำลังขยายวงไปในกลุ่มธุรกิจและสินค้าที่หลากหลายแนวมากขึ้น แม้แต่ยอดขายของกลุ่มสินค้าประเภทเครื่องดื่มและอาหารของแบรนด์สไมลีย์เอง ก็เติบโตขึ้นถึง 20 เปอร์เซ็นต์ในปีที่ผ่านมา เนื่องจากทางซัพพลายเอร์ที่เป็นแบรนด์อื่นๆ ต้องการใช้สไมลีย์มาช่วยสร้างความรู้สึกที่ดีและสร้างภาพลักษณ์แง่บวกให้กับตัวสินค้าของพวกเขา

“สินค้าประเภทอาหารที่เป็นไลเซนซีส์ของสไมลีย์เวิลด์ตอนนี้มีจำนวนนับเป็น 25เปอร์เซ็นต์ของอัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ภายในธุรกิจที่เรามีทั้งหมด และการฝังตัวแบรนด์ลงในสินค้าเหล่านี้ยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง เพราะเรากำลังพัฒนารูปทรงสามมิติให้กับสินค้าของเราอย่างจริงจัง “สินค้าของสไมลีย์เวิลด์ เอื้อให้ลูกค้าของเราได้แสดงอารมณ์ความรู้สึกที่เป็นส่วนตัว และมันเป็นองค์ประกอบสำคัญ ที่ทำให้แบรนด์นี้โดดเด่นเหนือกว่าแบรนด์อื่นๆในตลาดทั้งหมด”


No comments:

Post a Comment

Post Bottom Ad

Pages