ตั้งเป้ารักษาอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 80% และอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 20-25%
“ตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ผ่านมา APCO เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยฐานะการเงินที่มั่นคงแข็งแรง และมีความสามารถในการทำกำไรดีมาตลอด จนปี 2557 - 2558 ได้รับรางวัล Best Company Performance Award คู่กับ Best CEO Award จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2 ปีซ้อน และสามารถย้ายเข้า SET ในปี 61 แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีช่วงเวลาที่ประสบกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงในปีนี้มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 บริษัทก็สามารถปรับกลยุทธ์และรูปแบบการจัดจำหน่ายเพื่อรักษาการเติบโตได้ โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารักษาอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 80% และอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 20-25% พร้อมเดินหน้าก้าวสู่ปีที่ 10 อย่างยั่งยืน” ศ.ดร.พิเชษฐ์
ที่ผ่านมา APCO มีการวางแผนกำหนดกลยุทธ์การขยายธุรกิจในแต่ละปีให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปีนั้นๆ และรักษาอัตรากำไรให้อยู่ในระดับสูง และด้วยฐานะการเงินที่มั่นคงแข็งแรง APCO จึงได้มีการปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น 100% ในตลอด 9 ปีที่ผ่านมา
สำหรับแนวทางการดำเนินงานต่อจากนี้ APCO มีแผนที่จะร่วมมือกับพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีพันธมิตรที่ร่วมลงนามแล้ว 3 ราย อาทิ ศูนย์ BIM Healthcare Center ร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ, APCO China ขยายช่องทางการขายในประเทศจีน ล่าสุดลงนามร่วมกับ อะโฮ้ อะคาเดมี่ จำหน่ายผลิตภัณฑ์ ผ่านช่องทางออนไลน์ Social Media ในนาม บริษัท ไฮโซลด์ ดิจิทัล จำกัด ซึ่งในการร่วมมือกับพันธมิตร จะทำให้ผลิตภัณฑ์ APCO เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างหลายหลาย
อีกทั้งบริษัทมีการพัฒนางานวิจัยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของ APCO ที่ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภค โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สำหรับมะเร็งที่สามารถป้องกันและบำบัดมะเร็งในทุกส่วนของร่างกาย ด้วยประสิทธิภาพสูง ปลอดภัยและไร้ผลข้างเคียง และผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS ที่สามารถลดผลข้างเคียงจากการใช้ยาต้านไวรัส เพิ่ม CD4 ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้บริโภครอดจากการติดเชื้อฉวยโอกาส ช่วยให้ผู้ป่วยเอดส์ระยะสุดท้ายด้วยอาการติดเชื้อรา แบคทีเรีย มะเร็ง กลับมามีคุณภาพชีวิตเหมือนคนปกติ และ ล่าสุดประสบความสำเร็จในการช่วยผู้ติดเชื้อ HIV ที่ยังไม่ได้ใช้ยาต้านไวรัส ให้สามารถลดเชื้อจนหมดฤทธิ์ (หรืออาจจะปลอดเชื้อแล้ว) ด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดจากพืชกินได้ (Plant-based Immunotherapy for HIV) เป็นครั้งแรกก่อนนักวิจัยจากทั่วโลก
No comments:
Post a Comment