คุณนิติกร กรัยวิเชียร ผู้อำนวยการโครงการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การประกวดศิลปกรรมช้างเผือก เกิดจากความตั้งใจอันดีของ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเฟ้นหาศิลปินไทยรุ่นใหม่ที่มีทักษะความสามารถทางศิลปะอันโดดเด่น ในการสร้างสรรค์ศิลปะแบบเหมือนจริง (Realistic) และศิลปะรูปลักษณ์ (Figurative Art) โดยยึดถือความเหมือนจริงเป็นแก่นสำคัญเพื่อให้ผลงานศิลปะเหล่านี้เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่สำคัญ ในการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจด้านศิลปะร่วมสมัยให้ขยายไปสู่การรับรู้ของสังคมในวงกว้าง การดำเนินการประกวดศิลปกรรมช้างเผือก เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 และดำเนินงานต่อเนื่องเรื่อยมาเป็นประจำทุกปี โดยในปี พ.ศ. 2563 ซึ่งนับเป็นการจัดการประกวดครั้งที่ 9 ภายใต้หัวข้อ ‘สยามเมืองยิ้ม’ เพื่อให้ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะได้แสดงฝีมือและความคิดสร้างสรรค์
โดยตีความจากโจทย์ที่กำหนดให้ ซึ่งศิลปินที่เข้าร่วมประกวดแต่ละคน ก็ต่างสร้างสรรค์ผลงานที่น่าสนใจในรูปแบบและแนวทางที่แตกต่างได้อย่างน่าประทับใจ และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
โดยมีศิลปินจำนวน 205 คน ส่งผลงานเข้าร่วมประกวดจำนวนทั้งสิ้น 235 ชิ้น โดยมีผลงานที่ได้รับรางวัลจำนวน 21 ชิ้น และผลงานที่ได้รับคัดเลือกให้ร่วมแสดงในนิทรรศการจำนวน 34 ชิ้น รวมผลงานจัดแสดงในนิทรรศการทั้งสิ้น 55 ชิ้น บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี อย่างหาที่สุดมิได้ ที่ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นองค์ประธานในการพระราชทานรางวัลตั้งแต่การประกวดครั้งแรกตราบจนปัจจุบัน และขอขอบพระคุณคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่าน ตลอดจนศิลปินผู้ส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดทุกคน และจะมุ่งมั่นในการส่งเสริมและสนับสนุนให้วงการศิลปะร่วมสมัยของประเทศไทยประสบความสำเร็จสืบเนื่องต่อไปในอนาคต”
คุณธมลวรรณ แสงนาค ผู้ชนะรางวัลช้างเผือก ภายใต้ผลงานชื่อ “เสน่ห์ศิลป์แผ่นดินสยาม” เผยถึงแรงบันดาลใจผลงานชิ้นนี้ว่า “ผลงานชิ้นนี้ใช้เทคนิคภาพพิมพ์ตะแกรงไหมและวัสดุผสมที่งดงามมลังเมลืองด้วยทิวทัศน์วัดวังอร่ามเรือง บ่งบอกถึงวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบไทย อันสงบสุขงดงาม สอดรับกับหัวข้อ สยามเมืองยิ้ม เป็นอย่างดี และสื่อถึงความเจริญรุ่งเรืองของศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิตชาวสยาม ผ่านรูปแบบอัตลักษณ์ ลวดลายผ้า ที่แฝงไปด้วยความประณีตงดงาม โดยใช้เวลาผลิตชิ้นงานนี้เป็นระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งเราตั้งใจทำผลงานนี้ ออกมาให้ดีที่สุด รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และภูมิใจมากๆ ที่ผลงานชิ้นนี้ ได้รับรางวัลช้างเผือก ต้องขอขอบคุณโครงการ ศิลปกรรมช้างเผือก ที่เปิดโอกาสให้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะ และได้แสดงฝีมือในการผลิตชิ้นงานได้อย่างเต็มที่ค่ะ”
คุณนิลยา บรรดาศักดิ์ ผู้ชนะรางวัลชนะเลิศ ภายใต้ผลงานชื่อ “สุขสัมพันธ์ สามัญวิธี” เผยความรู้สึกว่า “รู้สึกดีใจมากๆ ค่ะ ที่ผลงานชิ้นนี้ได้รับรางวัลชนะเลิศ เพราะแรงบันดาลใจของผลงานมาจากครอบครัว ครอบครัวของเรามีกิจกรรมร่วมกันในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา ภาพทั้งหมดเป็นภาพของเครือญาติ ซึ่งเป็นบรรยากาศที่อบอุ่น และมีความสุข เป็นวิถีชีวิตของชนบทไทย ความสุขมักเกิดขึ้นจากการลงมือทำด้วยตัวเอง ประสบการณ์ที่ส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่น การร่วมแรงร่วมใจผ่านวิถีชีวิตอันเรียบง่าย ผ่านกิจกรรมสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ ล้วนสะท้อนภาพความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น สอดประสานกลมเกลียวกันได้อย่างสวยงามตามวิถีแห่งการพึ่งพาอาศัยกัน ผลงานชิ้นนี้ใช้เทคนิค เย็บ ปัก ถัก ร้อย ซึ่งเป็นเทคนิคที่เราถนัดอยู่แล้ว ใช้ระยะเวลาการผลิตชิ้นงานเป็นระยะเวลา 2 เดือนค่ะข้าพเจ้านำเรื่องราวความประทับใจในกิจกรรมการลงแขกเกี่ยวข้าวของสังคมชนบทอีสานของตนเอง มาเป็นแรงบันดาลใจ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์วิถี สร้างสรรค์ผลงานศิลปะร่วมสมัยผ่านเทคนิคกระบวนการเย็บปักเส้นด้าย ร้อยเรียงเรื่องราวความรัก ความสัมพันธ์ ผสานพลังความสามัคคี ก่อเกิดความสุขของการร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ภายใต้การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย สามารถปรับประยุกต์วิถีชีวิตให้เข้ากับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างกลมกลืน โดยยึดตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่ตรัสถึง “ความพอเพียงสร้างได้ก็ต่อเมื่อคนในชุมชนช่วยเหลือเกื้อกูลกัน” เป็นประโยคที่จุดประกายความคิดให้ข้าพเจ้าเล็งเห็นถึงการมีส่วนร่วมจากส่วนรวม เพื่อสร้างสรรค์และสานสัมพันธ์ชุมชนไทยให้ยั่งยืนสืบไป”
คุณมานนท์ สุธรรม ผู้ชนะรางวัล CEO AWARD ภายใต้ผลงานชื่อ “ผมทรงกะลาครอบ” เผยถึงแรงบันดาลใจผลงานชิ้นนี้ว่า “ร้านตัดผมมักจะสะท้อนวิถีชีวิตและบ่งบอกถึงเรื่องราวความเป็นมาของสังคมไทยได้เป็นอย่างดี ผมทรงกะลาครอบ อาจจะดูเชยและน่าขบขัน แต่ก็มีเสน่ห์ มีประวัติศาสตร์ร่วม ซึ่งทุกคนเคยผ่านหรือสัมผัสครั้งเมื่อวัยเด็ก ซึ่งผมและเพื่อนๆ มักจะโดนล้อกับผมทรงนี้ ผมคิดว่าใครที่ชมภาพนี้คงจะต้องยิ้มตามไปด้วย สอดคล้องกับหัวข้อสยามเมืองยิ้มครับ ผมรู้สึกดีใจ และภาคภูมิใจ ที่หลายๆ คนต่างชอบ ในส่วนเทคนิคการผลิต ผมใช้สีน้ำมันวาดลงบนผ้าลินิน ระยะเวลาในการผลิตชิ้นงานนี้เป็นระยะเวลา 2 เดือนครับ ผมรู้สึกดีใจมากๆ ที่ได้รับรางวัลนี้ซึ่งเป็นเกียรติอันสูงสุดครับ”
ทั้งนี้ นิทรรศการ “ศิลปกรรมช้างเผือก ครั้งที่ 9” ภายใต้หัวข้อ “สยามเมืองยิ้ม” จะเปิดให้ประชาชนเข้าชม โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ณ ชั้น 7 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 20 กันยายน 2563
สำหรับหัวข้อการประกวดศิลปกรรมช้างเผือก ครั้งที่ 10 ประจำปี 2564 ได้กำหนดหัวข้อ “ในฝัน” สื่อความหมายถึง แนวความคิดเกี่ยวกับ ความฝัน จินตนาการ ความใฝ่ฝันอันดีงามทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม ศีลธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในแต่ละพื้นถิ่น อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานสามารถตีความ “ความฝัน” ทั้งในแง่มุมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม กล่าวคือ ความฝันที่สามารถเป็นจริงได้ และความฝันที่เป็นเพียงจินตนาการอันสวยงามของแต่ละบุคคล นอกจากนั้นยังหมายรวมถึง ความรักความผูกพัน ความปรารถนา ปณิธาน ความฝันอันสูงสุด ความดีงามที่อยากสรรค์สร้างให้เกิดขึ้นจริง หรือการหวนรำลึกถึงความทรงจำอันมีคุณค่า ที่จารึกไว้ในฝันของตนเอง การประกวดศิลปกรรมช้างเผือก มุ่งเน้นส่งเสริมการสร้างสรรค์ผลงานแบบเหมือนจริง (Realistic) ที่มีเรื่องราวเนื้อหาอันดีงาม การตัดสินงานจะไม่แยกประเภทและ วัสดุ ศิลปินสามารถส่งผลงานจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ และสื่อผสม โดยไม่จำกัดเทคนิคและวัสดุ ทั้งนี้ จะเปิดรับผลงานในระหว่างวันที่ 29-30 มกราคม 2564 เวลา 10.00-18.00 น. สามารถติดตามรายละเอียด ได้ทาง เฟซบุ๊ก : ศิลปกรรมช้างเผือก, www.thaibev.com และ www.bacc.or.th
No comments:
Post a Comment