· ทั้งยังถือเป็นก้าวสำคัญของมิชลินในการรุกเข้าสู่ธุรกิจอื่นนอกเหนือจากการสัญจรและแสดงจุดยืนในฐานะผู้มีบทบาทหลักด้านโซลูชั่นพอลิเมอร์คอมโพสิต (Polymer Composite Solutions) ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ Michelin in Motion เพื่อการเติบโตสู่ปี 2573
· ตลอดจนยกระดับศักยภาพที่โดดเด่นของทั้งสองบริษัทเพื่อเสริมสร้างพลังร่วมในการคิดค้นนวัตกรรมเชิงลึก (Deep Innovation) ที่มีความหลากหลายทั้งในแง่ผลิตภัณฑ์และการนำไปใช้งาน
· นอกจากนี้ ยังขับเคลื่อนการเติบโตของมิชลิน โดยจะทำให้อัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT Margin) ของกลุ่มมิชลินและธุรกิจผลิตภัณฑ์เฉพาะทาง (Specialty Segment) เพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนก่อให้เกิดเงินสดเชิงบวกและส่งผลต่อกำไรต่อหุ้น (EPS)
· การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ใช้เงินทุนจากเงินสดที่มีอยู่ โดยยังคงสถานะทางการเงินของมิชลินที่แข็งแกร่งเอาไว้
· คาดว่าจะสามารถปิดการซื้อขายกิจการครั้งนี้ได้ภายในปลายไตรมาสที่ 3 ของปีนี้
เมื่อเร็วๆ นี้ มิชลิน และ IDI บริษัทหลักทรัพย์เอกชนสัญชาติฝรั่งเศส ได้ประกาศการบรรลุข้อตกลงร่วมกันในการที่มิชลินจะเข้าซื้อกิจการ 100% ใน Flex Composite Group (FCG) ตามมูลค่าสุทธิของกิจการซึ่งอยู่ที่ 700 ล้านยูโร (ราว 26,600 ล้านบาท)
อนึ่ง Flex Composition Group หรือ FCG เป็นผู้นำสัญชาติยุโรปด้านสิ่งทอและฟิล์มที่ได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมเพื่อการนำไปใช้งานในตลาดเทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ การเดินเรือ, รถซูเปอร์คาร์และยานยนต์ไฟฟ้า, การกีฬา หรือการก่อสร้าง โดย FCG มีความเชี่ยวชาญด้านโซลูชั่นพอลิเมอร์คอมโพสิตหลากหลายรูปแบบในแนวทางเดียวกับที่มิชลินได้พัฒนาขึ้น บริษัทฯ มีพนักงาน 400 คน การดำเนินงานหลักๆ อยู่ในตลาดที่เติบโตรวดเร็วและมีความต้องการไม่หยุดนิ่งของภาคพื้นยุโรป โดยเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ ยอดรายได้ของ FCG ในปี 2565 อยู่ที่ 202 ล้านยูโร (ราว 7,678 ล้านบาท) ระหว่างปี 2558-2565 บริษัทฯ เติบโตจากการดำเนินงานภายในองค์กร (Organic Growth) เฉลี่ยอยู่ที่ 11% โดยมีอัตราส่วนที่บ่งบอกถึงความสามารถในการทำกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) อยู่ระหว่าง 25-30%
ข้อตกลงครั้งนี้จะส่งผลให้มิชลินและ FCG สามารถสร้างผู้นำด้านสิ่งทอและฟิล์มไฮเทค โดยการเข้าซื้อกิจการไม่เพียงสอดคล้องกับกลยุทธ์ Michelin in Motion เพื่อการเติบโตสู่ปี 2573 แต่ยังเป็นก้าวสำคัญของมิชลินในการขยายขอบเขตการเติบโตของธุรกิจด้านพอลิเมอร์คอมโพสิต, ยกระดับนวัตกรรมและศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนได้ประโยชน์จากความใกล้ชิดกับลูกค้าและความเชี่ยวชาญด้านกระบวนการทางอุตสาหกรรมของ FCG
การซื้อขายกิจการครั้งนี้จะสร้างพลังร่วมในการคิดค้นนวัตกรรมเชิงลึก (Deep Innovation) ที่มีความหลากหลายทั้งในแง่ผลิตภัณฑ์และการนำไปใช้งาน ขณะเดียวกันยังช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของ FCG
นอกจากนี้ การเข้าซื้อกิจการ FCG จะช่วยให้ธุรกิจวัสดุไฮเทคของมิชลินมีรายได้เพิ่มขึ้นราว 20% และส่งผลให้ธุรกิจนี้เติบโตได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังจะทำให้อัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT Margin) ของกลุ่มมิชลินและธุรกิจผลิตภัณฑ์เฉพาะทาง (Specialty Segment) เพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนก่อให้เกิดเงินสดเชิงบวกและส่งผลต่อกำไรต่อหุ้น (EPS)
ฟลอรองต์ เมอเนโกซ์ (Florent Menegaux) ประธานกรรมการบริหารกลุ่มมิชลิน เปิดเผยว่า “เรายินดีอย่างยิ่งที่จะได้ต้อนรับทีมงานของ FCG เข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มมิชลิน...เพื่อสร้างผู้นำที่โดดเด่นในด้านสิ่งทอและฟิล์มไฮเทค การซื้อขายกิจการครั้งนี้เป็นการผสานจุดเด่นที่ดีที่สุดของทั้งสองบริษัทเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชี่ยวชาญที่ต่างมีร่วมกันในเรื่องโซลูชั่นพอลิเมอร์คอมโพสิต เรามุ่งสร้างพลังร่วมเพื่อก้าวข้ามขอบเขตเดิมๆ สู่การคิดค้นนวัตกรรมเชิงลึก (Deep Innovation) ที่มีความหลากหลายทั้งในแง่ผลิตภัณฑ์และการนำไปใช้งาน การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญเชิงกลยุทธ์ที่จะกำหนดจุดยืนของกลุ่มมิชลินในฐานะผู้มีบทบาทหลักด้านโซลูชั่นพอลิเมอร์คอมโพสิต ซึ่งเป็นธุรกิจที่อยู่นอกเหนือภาคการสัญจร”
เอ็มมานูเอล คาปริกลิโอเน (Emmanuel Capriglione) ผู้จัดการทั่วไปของ FCG กล่าวว่า “ธุรกิจของFCG เติบโตอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความสำเร็จดังกล่าวเป็นผลมาจากปัจจัยหลักหลายปัจจัยด้วยกัน ได้แก่ ความเชี่ยวชาญที่โดดเด่นในด้านวัสดุและฟิล์มคอมโพสิต, ศักยภาพด้านนวัตกรรมและความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยการเข้ามาของมิชลินช่วยส่งเสริมให้ FCG สามารถต่อยอดศักยภาพด้านนวัตกรรมของตนเอง ตลอดจนปรับปรุงประสิทธิภาพการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และนำเสนอวัสดุที่ยั่งยืนให้กับลูกค้าได้มากขึ้น”
การซื้อขายกิจการครั้งนี้เป็นการชำระด้วยเงินสด โดยแม้จะใช้เงินทุนจากเงินสดที่มีอยู่ แต่ยังคงสถานะทางการเงินของมิชลินที่แข็งแกร่งเอาไว้ เป็นที่คาดว่าจะสามารถปิดการซื้อขายกิจการครั้งนี้ได้ภายในปลายไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการปรับเปลี่ยนตามการแล้วเสร็จของเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อการได้มาซึ่งหุ้นทั้งหมด (Customary Closing Adjustment) และการควบคุมการควบรวมกิจการ (Merger Control Clearances) ในพื้นที่ดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
////////////////////////////////////////////////////////
เกี่ยวกับมิชลิน
มิชลิน ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมยางรถยนต์ มุ่งมั่นส่งเสริมการสัญจรของลูกค้าอย่างยั่งยืน ออกแบบและจัดจำหน่ายยางที่เหมาะกับการใช้งานมากที่สุด ตลอดจนให้บริการและโซลูชั่นที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งครอบคลุมการให้บริการทางดิจิทัล การจัดทำคู่มือและแผนที่สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อสัมผัสประสบการณ์ที่แตกต่างไม่เหมือนใคร รวมถึงการพัฒนาวัสดุทางเทคโนโลยีขั้นสูงสำหรับอุตสาหกรรมการสัญจร กลุ่มมิชลินมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองแกลร์มง-แฟร็อง ประเทศฝรั่งเศส และมีสำนักงานสาขาอยู่ใน 175 ประเทศโดยมีพนักงาน 132,200 คนทั่วโลก และมีโรงงานผลิตยาง 67 แห่ง ซึ่งผลิตยางรวมกันได้สูงถึง 167 ล้านเส้นในปี 2565 คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.michelin.co.th
No comments:
Post a Comment