• เมอร์เซเดส-เบนซ์แนะนำ “Mercedes-Benz The new E-Class” เปิดราคาเริ่มต้นที่ 3.19 ล้านบาท
• “Mercedes-Benz E-Class” คือรถยนต์รุ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุดด้วยยอดขายสะสม 14 ล้านคันทั่วโลก
• มีให้เลือก 3 รุ่นทั้งเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและเครื่องยนต์ดีเซล – E 300 e Avantgarde,
E 300 e Avantgarde, E 220 d AMG Sport และ E 300 e AMG Dynamic ที่มีให้เลือกทั้งในรุ่นเครื่องยนต์เบนซินผสานพลังมอเตอร์ไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยี แบบปลั๊กอินไฮบริดเจเนอเรชันที่ 3 และรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลพลังแรงทว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้มาตรฐาน EURO6 เปิดราคาเริ่มต้นที่ 3.19 ล้านบาท
มร. โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “รถยนต์รุ่น E-Class ถือเป็นรถยนต์ Contemporary Luxury จากเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดมาตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกปีในพ.ศ. 2489 โดยมียอดขายสะสมมากถึง 14 ล้านคันทั่วโลกจนได้รับฉายาว่าเป็น “Heart of the brand” และเฉพาะตัวถัง W213 ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปีพ.ศ. 2559 ก็สามารถทำยอดขายสะสมทั่วโลกรวมกว่า 1.2 ล้านคัน สำหรับ Mercedes-Benz The new E-Class ใหม่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ยกระดับความหรูหราและสะดวกสบายเพิ่มขึ้นในทุกรายละเอียดเพื่อมอบทุกสิ่งที่ผู้ใช้รถต้องการ ภายใต้ดีไซน์ใหม่สุดโฉบเฉี่ยวที่จะสะกดทุกสายตา ซึ่งผสานความหรูหราและความสปอร์ตเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ตั้งแต่ดีไซน์ภายนอกทั้งในส่วนของตัวถัง กระจังหน้า ไฟหน้า และไฟท้าย เรื่อยไปจนถึงห้องโดยสารภายในที่เปิดโอกาสให้คุณดื่มด่ำกับสุนทรียภาพของความหรูหราและสะดวกสบายในทุกรายละเอียด พร้อมระบบความปลอดภัยที่ครบครัน นอกจากนี้ เรายังมีทางเลือกของเครื่องยนต์ที่ทั้งทรงพลังและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและเครื่องยนต์ดีเซลเป็นสองทางเลือกให้กับแฟน E-Class ด้วย ทั้งหมดนี้ ทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์มั่นใจว่า Mercedes-Benz The new E-Class จะเป็นรถยนต์รุ่นใหม่ที่พร้อมสร้างความคึกคักให้กับตลาดรถยนต์ลักชัวรีในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 ก่อนที่เราจะมีรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ทยอยมาสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดและผู้บริโภคในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องในปีนี้”
Mercedes-Benz The new E-Class คือยนตรกรรมอัจฉริยะที่พร้อมมอบทุกสิ่งที่คุณต้องการ และสะกดทุกสายตาด้วยดีไซน์ใหม่สุดโฉบเฉี่ยว โดยมาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ 2 ทางเลือก ได้แก่ เครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง 4 สูบขนาด 1,991 ซีซี ผสานพลังมอเตอร์ไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยีแบบปลั๊กอินไฮบริด เจเนอเรชันที่ 3 ให้กำลังสูงสุด 211 แรงม้า พร้อมอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียง 5.7 วินาที อีกหนึ่งทางเลือกคือเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบขนาด 1,950 ซีซีพร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้มาตรฐาน EURO6 ให้พละกำลัง 194 แรงม้า พร้อมอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 7.3 วินาที ถ่ายทอดพลังจากเครื่องยนต์อย่างเต็มประสิทธิภาพด้วยระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC ช่วยประหยัดน้ำมันได้มากถึง 6.5%
ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ของชุดแต่ง AMG Body styling ที่มีการปรับดีไซน์ใหม่ให้ดูล้ำสมัยยิ่งขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจาก AMG Performance models สะท้อนเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของรถยนต์รุ่น E-Class ด้วยกระจังหน้า diamond radiator grille ลงตัวด้วยไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED และไฟท้ายแบบ Full-LED ที่ออกแบบให้เข้ากันกับกันชนท้ายและฝากระโปรงท้ายดีไซน์ใหม่ พร้อมความโฉบเฉี่ยวของล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ขนาด 19 นิ้วจาก AMG ผสานความหรูหราและความสปอร์ตเข้าด้วยกันอย่างลงตัว นอกจากนี้ยังโปร่งสบายด้วยหลังคาแก้วแบบ Panoramic Sunroof ที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า
ภายในห้องโดยสารโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่หรูหราและสะดวกสบาย ภายใต้การออกแบบที่เติมเต็มความสปอร์ตกับชุดตกแต่งภายในแบบ AMG Interior package แม่นยำทุกการควบคุมด้วยพวงมาลัยดีไซน์สปอร์ตใหม่แบบ 3 ก้านท้ายตัด พร้อมปุ่มควบคุมแบบ Touch control เพื่อให้ทุกการควบคุมเป็นไปตามธรรมชาติภายใต้หลักสรีรศาสตร์ เบาะนั่งแบบสปอร์ตเพิ่มความกระชับในทุกรูปแบบการขับขี่ พร้อมคอนโซลหุ้มด้วยหนัง ARTICO ตลอดทั้งคัน สามารถปรับอารมณ์ของรถให้เป็นไปตามความรู้สึกด้วยไฟล้อมรอบห้องโดยสารแบบ Premium Ambient light ที่สามารถเลือกปรับได้มากถึง 64 เฉดสี พร้อม Animation เปลี่ยนสีอัตโนมัติแบบเคลื่อนไหวให้เลือกได้มากถึง 10 แบบ เพลิดเพลินตลอดการเดินทางด้วยระบบเสียงรอบทิศทางแบบ Burmester® surround sound system พร้อมลำโพงจำนวน 13 ตำแหน่ง
ใน Mercedes-Benz The new E-Class ยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยที่ล้ำหน้าอย่างครบครัน อาทิ ระบบแจ้งเตือนขณะเปลี่ยนช่องจราจรแบบ Blind Spot Assist พร้อมระบบแจ้งเตือนก่อนเปิดประตูแบบ Exit Warning ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินแบบ Active Brake Assist ระบบช่วยเหลือก่อนเกิดอุบัติเหตุ PRE-SAFE® เซ็นเซอร์รอบคันจำนวน 12 จุด แบบ PARKTRONIC พร้อมระบบช่วยการนำรถเข้าจอดแบบ
Active Parking Assist และกล้องแสดงภาพรอบคันแบบ 360 องศา ฯลฯ Mercedes-Benz The new E-Class พร้อมผสานทุกการควบคุมเข้าด้วยกันผ่านระบบ MBUX รุ่นล่าสุดที่แสดงผลผ่านหน้าจอแบบ Digital Widescreen cockpit ขนาด 12.3 นิ้วจำนวน 2 หน้าจอ รวมถึงฟังก์ชันการทำงานต่าง ๆ ที่ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับรถยนต์ E-Class ทุกรุ่น โดยเฉพาะฟังก์ชันการติดต่อสื่อสารกับศูนย์บริการได้โดยตรงทั้งการสั่งงานผ่านหน้าจอรถยนต์ หรือผ่านแอปพลิเคชัน Mercedes me ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้รถสามารถควบคุมรถยนต์จากระยะไกลผ่านโทรศัพท์มือถือได้อีกด้วย
Mercedes-Benz The new E-Class มีวางจำหน่าย 3 รุ่น ได้แก่
• Mercedes-Benz E 300 e Avantgarde ราคา 3,190,000 บาท
• Mercedes-Benz E 220 d AMG Sport ราคา 3,540,000 บาท
• Mercedes-Benz E 300 e AMG Dynamic ราคา 3,770,000 บาท
เกี่ยวกับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี เป็นผู้รับผิดชอบธุรกิจทั่วโลกของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และรถตู้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ด้วยจำนวนพนักงานกว่า 173,000 คนทั่วโลก โดยมี โอล่า คัลเลนเนียส เป็นประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัทมุ่งเน้นการพัฒนา ผลิต และจำหน่ายรถยนต์ รถตู้ และบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้น ยังมีเจตนารมณ์ในการเป็นผู้นำของโลกในด้านการเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน ยานยนต์ไร้คนขับ และยานยนต์ทางเลือก โดยการใช้นวัตกรรมล้ำสมัยต่าง ๆ กลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทประกอบด้วยแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และแบรนด์ย่อย เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี เมอร์เซเดส-มายบัค และ เมอร์เซเดส-มี รวมทั้งแบรนด์สมาร์ท และแบรนด์อีคิว ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์โดยสารระดับพรีเมี่ยมรายใหญ่ที่สุดของโลก ในปี 2563 บริษัทฯ จำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกือบ 2.4 ล้านคัน และรถตู้กว่า 438,000 คัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ขยายเครือข่ายการผลิตใน 2 กลุ่มธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั่วโลก โดยมีฐานการผลิตกว่า 40 แห่งใน 4 ทวีป ควบคู่ไปกับแนวทางการพัฒนาที่ตอบสนองความต้องการในด้านยานยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกัน บริษัทได้พัฒนาเครือข่ายการผลิตแบตเตอรี่ของตัวเองทั่วโลกใน 3 ทวีป การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนล้วนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อทั้งสองกลุ่มธุรกิจ สำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ความยั่งยืนหมายถึงการสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายในระยะยาว ทั้งลูกค้า พนักงาน นักลงทุน พันธมิตรทางธุรกิจ และสังคมโดยรวม โดยอาศัยพื้นฐานของกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของเดมเลอร์ ซึ่งมุ่งรับผิดชอบต่อผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม และสังคม จากกิจกรรมทางธุรกิจต่าง ๆ ของบริษัท และให้ความสำคัญต่อห่วงโซ่คุณค่าโดยรวม
No comments:
Post a Comment